สุดจะทนแล้ว MAJOR ลุยซื้อหุ้นคืน ราคาดิ่งต่ำกว่าบุ๊ค Q4กำไรฟื้นรับไฮซีซั่น

MAJOR ลั่นสิ้นกันทีราคาหุ้นร่วง เตรียมชงเรื่องเข้าที่ประชุมวิสามัญอนุมัติ ด้านคนในวงการเชื่อมีลุ้นผ่านฉลุย ส่วนกำไรไตรมาส 3 ดิ่งเหลือ 152 ล้านบาท แต่มีสิทธิ์ฟื้นอีกรอบ Q4หนังฟอร์มใหญ่จ่อฉายเพียบ หุ้นถูกน่าเก็บ อัพไซด์สูง

ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJORเตรียมขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติแผนซื้อหุ้นคืน ได้ส่งผลบวกให้มีแรงซื้อช่วยผลักดันราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นโยบายซื้อหุ้นของ MAJOR จะมีสิทธิ์ได้รับการอนุมัติในช่วงปลายปีนี้

'ข่าว MAJOR มีแผนซื้อหุ้นคืน ก็มีส่วนช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น สำหรับเรื่องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น คิดว่าก็มีโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติเช่นกัน'นักวิเคราะห์กล่าว

ด้านประเด็นการซื้อหุ้นคืน ทางนายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร ได้เคยเปิดเผยแนวคิดดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากพบว่าราคาหุ้นบริษัทได้ปรับลดลงตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างมาก โดยราคาล่าสุด (29 ต.ค.) ปิดอยู่ที่ระดับ5.50 บาท ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชีที่ 6.38 บาท จึงมีโอกาสจะเสนอซื้อคืนประมาณ10% อีกทั้งปัจจุบันก็มีกระแสเงินสดเพียงพอสูงถึงประมาณ 2,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายฉัฐภูมิ ขันติวิริยะเลขานุการ MAJOR ได้รายงานมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ว่า จะเตรียมขอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 3 ธ.ค. 51 เพื่อขออนุมัติให้แก้ไขข้อบังคับ ให้สามารถซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/51 ในวันที่ 12 พ.ย. 51

ส่วนผลกาดำเนินงานในไตรมาส 3 ทางฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินว่า จะมีรายได้รวมในลดลง 7.42% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 1,360.01 ล้านบาท เนื่องจากภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูง เช่น The Mummy มีรายได้ 122 ล้านบาท, The Dark Knight ที่88 ล้านบาท และ Hancock ที่ 75 ล้านบาท ยังต่ำกว่าเมื่อปีก่อนที่มีเรื่อง HarryPotter 5 ที่สามารถทำเงินถึง 172 ล้านบาท Transformers ที่ 86 ล้านบาท และตั๊ดสู้ฟุดที่ 79 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จำนวนโรงภาพยนต์ที่มีจัดฉายเพิ่มมากขึ้น ได้ส่งผลบวกให้เม็ดเงินจากยอดขายตั๋วภาพยนตร์ปรับลดลงไม่มากนักเพียง ขณะที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มยัง เติบโตได้ดีมียอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 21.5% จากเดิม 20.8% (ไตรมาส 2) และมีรายได้จากกิจการโบว์ลิ่งยัง เพิ่มขึ้น หลังจากได้ขยายเลนส์และปรับแผนการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ด้านธุรกิจให้เช่าและบริการจะเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากขายพื้นที่เข้า MJLF ส่วนธุรกิจจำหน่ายดีวีดีและซีวีดี จะมีจำนวนลดลง เพราะได้แลกหุ้น M Picture ให้กับ บริษัทเอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ MPIC ไปแล้ว จึงคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 152.13 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้อยู่ระดับ 169ล้านบาท

สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี จะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง หลังจากมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่จำนวนมากเข้าฉาย เช่น หลวงพี่เท่ง 2 ซึ่งมีโอกาสทำเงินได้เกิน 100 ล้านบาท, ปืนใหญ่จอมสลัด ที่ฉายไปเมื่อ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา เจมส์บอนส์ 007: 007 Quantum of Solaceและองค์บาก 2 เป็นต้น ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3

ด้านผลการดำเนินงานทั้งปี 51 คาดการณ์ว่า จะมีโอกาสทำได้อยู่ที่ประมาณ 5,401.83 ล้านบาท หลังจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่อย่าง Harry Potter 6 ได้เลื่อนฉายออกไปเป็นปีหน้า จึงปรับกำไรสุทธิลดลงมาอยู่ระดับ 790 ล้านบาท จากเดิม 804 ล้านบาท แนะนำ 'ซื้อ'ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท เพราะในช่วงปีหน้าทางบริษัทจะได้รับผลประโยชน์จากการเลื่อนฉายหนังเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นรายได้ อีกทั้ง มีการขยายโรงภาพยนตร์ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น โดยคาดว่ารายได้รวมในปี 52 จะอยู่ที่ 5,302. ล้านบาท เพราะจะไม่มีรายได้จากธุรกิจจำหน่ายดีวีดีและซีวีดีหาย แต่จะมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 7.64% ที่ระดับ850 ล้านบาทเนื่องจากมีเม็ดเงินจากธุรกิจอื่นทื่ทำมาร์จิ้นสูงขึ้นมา

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้น
ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551