เมเจอร์ซีนีแอดรุก'วางแผนกลยุทธ์' เพิ่มทางเลือกนักการตลาด-ลบภาพแค่สื่อโรงหนัง

 

'เมเจอร์ ซีนีแอด' สลัดคราบแค่สื่อ โรงหนังสู่ 'marketing service company' ให้บริการสร้างแบรนด์และขายสินค้าครบวงจร เผยทุ่มลงทุนกว่า 100 ล้านพัฒนาระบบดิจิทัลรองรับสื่อแอลซีดี-พลาสมาทีวี เล็งผนึกพันธมิตรด้านสื่อพัฒนานิวมีเดีย ต่อเนื่อง เพิ่มสื่อทางเลือกให้เจ้าของสินค้า มั่นใจปีนี้ขยายตัวได้อีก 15-20%นายปณิธาน เศรษฐบุตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) และประธาน บริษัท เมเจอร์ ซีนีแอด จำกัด ผู้บริหารสื่อโฆษณาโรงภาพยนตร์ เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้สื่อโฆษณาของนักการตลาดและเจ้าของสินค้าในปัจจุบันจะมองหาสื่อใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงมีนโยบายปรับตัวเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักการตลาด โดยจะไม่เป็นเพียงแค่ผู้ให้บริการสื่อในโรงภาพยนตร์ หรือสกรีนแอดเพียงอย่างเดียว แต่จะให้บริการด้านการวางแผนกลยุทธ์การตลาดและมีเดียอย่างครบวงจร (marketing service company) ทั้งในด้านการสร้าง แบรนด์และสร้างยอดขายโดยใช้สื่อและ โลเกชั่นที่มีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

โดยในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สำหรับนำเข้าเทคโนโลยีใหม่จากต่างประเทศ พร้อมติดตั้งระบบสำหรับรองรับดิจิทัลมีเดีย พร้อมทั้งลงทุนติดตั้งสื่อแอลซีดีและพลาสมาทีวีให้ครอบคลุมทุกสาขาทั่วประเทศรวมประมาณ 1,000 จอภายในปีนี้ และลงทุนเพิ่มอีก 1,000 จอในปีหน้า ซึ่งจะครอบคลุมทั้งสาขาของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ฯ แมคโดนัลด์ สยามฟิวเจอร์ รวมทั้งอาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าอื่นๆ ด้วย

'ระบบดิจิทัลมีเดียนี้จะมีศูนย์กลางควบคุมอยู่ที่ออฟฟิศใหญ่ และสามารถลิงก์ออนไลน์ไปยังทุกจอที่ติดตั้งอยู่ พร้อมระบุข้อมูลที่จะโฆษณาได้ว่าต้องการเผยแพร่ในพื้นที่ใดและเวลาไหนบ้าง ทำให้นักการตลาดสามารถโฟกัสและเจาะพื้นที่ที่ต้องการจะสื่อถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยเกิดความ สูญเสียน้อยที่สุด' นายปณิธานกล่าว

และว่าปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากสื่อในโรงภาพยนตร์ประมาณ 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นรายได้จากสื่ออื่นๆ ที่บริษัทพยายามพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจอแอลซีดีและพลาสมาทีวีแล้วยังมีสื่ออื่นๆ อีกจำนวนมาก อาทิ ไลต์บอกซ์, ไตรวิชั่น, แร็ป, ม็อกอัพ, วิดีโอ วอลล์ ฯลฯ

นายปณิธานกล่าวต่อไปว่า ด้วยศักยภาพในการให้บริการที่ครบวงจรนี้จะทำให้บริษัทต้องทำงานร่วมกับทางเจ้าของสินค้าในแนวลึกมากขึ้น ตั้งแต่วางแผนกลยุทธ์ เลือกสื่อ จัดกิจกรรมเสริม ขณะเดียวกันยังมีแผนจับมือกับพันธมิตรด้านสื่อต่างๆ ในการพัฒนาสื่อร่วมกันอีกด้วย พร้อมทั้งสามารถให้บริการแบบเทเลเมดตามความต้องการของเจ้าของสินค้าอีกด้วย

นายปณิธานกล่าวต่อไปอีกว่า ด้วยโมเดลการทำธุรกิจแบบใหม่นี้จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตัวเลขรายได้รวมของบริษัทยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากปัจจัยทางด้านการเมืองและงานพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แต่เชื่อมั่นในครึ่งปีหลังนี้รายได้จะปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และส่งผลให้ภาพรวมเติบโตได้เพิ่มขึ้น 15-20% จากรายได้รวมประมาณ 800 ล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา โดยรายได้จากโฆษณาในโรงหนังจะมีสัดส่วนประมาณ 75-80% ตามด้วยสื่อพลาสมาทีวีประมาณ 10-15% ที่เหลืออีก 5% จะเป็นรายได้จากส่วนอื่นๆ

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2551