MAJOR รุกธุรกิจครบวงจร

นายวิชา พูลวรลักษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมเป็นพันธิมิตรกับบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC บริษัท แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ กรุ๊ป จำกัด (PM) และบริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ก รีเทล จำกัด (MNR) บริษัทได้ขายหุ้นของ PM ที่ถือทั้งหมด 9,699,995 หุ้น คิดเป็น 97% ให้แก่ MPIC ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของบริษัท โดยเมเจอร์ถือหุ้นใน MPIC 41% โดยขายในราคาหุ้นละ 39.5044 บาท

ทั้งนี้ เมเจอร์ฯจะรับชำระค่าหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของ MPIC (Share Swap) โดยสัดส่วนหุ้น 9.23 หุ้นใหม่ของ MPIC ต่อ 1 หุ้นของ PM รวมหุ้นออกใหม่ของ MPIC ที่จะได้รับจากการแลกหุ้นทั้งสิ้น 89,530,953 หุ้น หลังจากการทำรายการครั้งนี้จะทำให้เมเจอร์ฯถือหุ้นใน MPIC 45% และบริษัทไม่มีนโยบายที่จะลงทุนในบริษัทจดทะเบียนเกินกว่า 50% ซึ่งการจับมือในครั้งนี้จะส่งผลให้รูปแบบของธุรกิจเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้ จึงคาดว่าในปีนี้ผลการดำเนินงานจะโตประมาณ 20-25% มีรายได้จากธุรกิจหลัก 45% ส่วนปีหน้ารูปแบบของธุรกิจจะเปลี่ยนไป ซึ่งจากการจับมือกับพันธมิตรในครั้งนี้ทำให้บริษัทมีธุรกิจที่ครบวงจรมากขึ้น

นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็มพิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้ MPIC จะเข้าทำรายการโดยการเพิ่มทุนเพื่อซื้อ PM และ MNR พร้อมกับการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อสำรองใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งหลังจากการทำรายการ MPIC จะถือหุ้นใน PM และ MNR 100%

โดยสัดส่วนการแลกหุ้นจะเป็น 9.23 หุ้นใหม่ต่อ 1 หุ้น PM และ 17.625 หุ้นใหม่ต่อ 1 หุ้น MNR ซึ่งในการแลกหุ้นครั้งนี้จะใช้ราคาหุ้นใหม่ของ MPIC ที่ 4.28 บาทต่อหุ้น ส่วนหุ้นที่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมคิดเป็นหุ้นละ 3.33 บาท คาดว่าเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่วนขั้นตอนต่อไปคือการจัดประชุมผู้ถือหุ้นของ MPIC เพื่อขออนุมัติในช่วงต้นเดือนกันยายน และการแลกหุ้นเพื่อจองซื้อและซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมประมาณปลายเดือนกันยายน และหุ้นเพิ่มทุนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้จะมีผลขาดทุนลดลง จากที่ขาดทุนประมาณ 150 ล้านบาท และในปีหน้าหากมีความเป็นไปได้ก็จะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมด

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551