'เมเจอร์'หุ้นใหญ่ กุมทราฟฟิก40.8% ผลิต-นำเข้าหนัง

ปิดดีลเมเจอร์เทคฯ ทราฟฟิก ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40.8% หวังใช้ 'วอร์เนอร์ บราเธอร์' เป็นต้นแบบธุรกิจ เตรียมรีแบรนดิ้งเปลี่ยนชื่อใหม่ ทุ่มสร้างภาพยนตร์ปีนี้ 3 เรื่อง งบลงทุน 40 ล้านบาท เผยหลังควบรวมเรียบร้อย คาดรายได้ปีนี้เติบโตเกินระดับ 500-600 ล้านบาท เชื่อใช้เวลา 1 ปีเทิร์นอะราวด์ล้างภาพขาดทุน ด้าน 'เมเจอร์' ตั้งเป้าปีนี้เติบโต 25-30%

นายวิชา พูดวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) กล่าวว่า ดีลการเข้าซื้อหุ้นบริษัท ทราฟฟิก คอร์นเนอร์ โฮลดิ้งส์ (TRAF) สรุปเรียบร้อย โดยบริษัทได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 40.8% ของทุนจดทะเบียน ขณะที่แผนควบรวมบริษัททราฟฟิก กับบริษัท เอ็มพิคเจอร์ส อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งภายหลังการควบรวมแล้วเสร็จ จะมีการตั้งคณะกรรมการของแต่ละฝ่ายเข้าไปร่วมบริหารในด้านต่างๆ และแต่งตั้งให้นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย เป็นประธานกรรมการบริหารในบริษัทที่ควบรวม

'บริษัท ทราฟฟิ เป็นผู้ผลิตสื่อ ขณะที่ เอ็มพิคเจอร์ส เป็นบริษัทนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ เมื่อควบรวมกันก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้และจะไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะธุรกิจสื่อโทรทัศน์ เคเบิลเท่านั้น แต่จะเข้าไปเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสิ่งที่เมเจอร์มองคือ สร้างขนาดบริษัทที่ควบรวมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยวิธีการทำธุรกิจขิงบริษัทที่ควบรวม จะเหมือนกับธุรกิจ วอร์เนอร์ บราเธอร์ (Warner Brothers) ซึ่งเป็นธุรกิจภาพยนตร์ และโทรทัศน์ขนาดใหญ่ในสหรัฐ รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายวีซีดีและดีวีดีด้วย' นายวิชา กล่าว

ผลประกอบการของบริษัท เมเจอร์ น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่มีทราฟฟิกเป็นบริษัทในเครือ จะช่วยสนับสนุนให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยปีนี้ คาดว่ารายได้ และกำไร จะเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการที่บริษัทมีการออกกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และปีนี้คาดว่าจะเติบโตระดับ 25-30% ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเมเจอร์จะเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมมาโดยตลอด โดยปีที่แล้วอุตสาหกรรมภาพยนตร์เติบโต 17-19% ขณะที่เมเจอร์จะเติบโต 27%

ด้านนายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ว่าที่ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทราฟฟิก คอร์เนอร์ โฮลดิ้งส์ กว่าวว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทจะต้องรอมติของคณะกรรมการบริษัท และผู้ถือหุ้น แผนการดำเนินธุรกิจหลังการควบรวมระหว่างบริษัททราฟฟิกกับบริษัท เอ็มพิคเจอร์ส จะต้องมีการรีแบรนดิ้งใหม่ เพราะภาพธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนชื่อบริษัทอยู่ในแผนครั้งนี้ และคาดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าประชุมสามัญได้ใน เม.ย. นี้

ทั้งนี้ บริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยจะมีธุรกิจ 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วยธุรกิจนำเข้าภาพยนตร์ ซึ่งเป็นรายได้หลัก ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ โดยมีโครงการร่วมผลิตภาพยนตร์กับผู้กำกับอิสระ คาดว่าปีนี้จะมีการสร้างประมาณ 3-4 เรื่อง ใช้งบลงทุนไม่เกิน 40 ล้านบาท โดยจะนำเงินจากการเพิ่มทุนมาใช้ และคาดว่าจะเริ่มมีภาพยนตร์เรื่องแรกในปลายปีนี้ ขณะที่จะมีธุรกิจที่เกิดจากการสร้างมูลค่าเพิ่มจากภาพยนตร์ที่มีอยู่ เช่น ผลิตหนังแผ่นวีซีดีและดีวีดีจำหน่าย รวมไปถึงภาพยนตร์ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้มากขึ้น

ผลประกอบการของบริษัทใหม่ คาดว่าปีนี้น่าจะมีรายได้เกิน 500-600 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากบริษัท เอ็มพิคเจอร์ส และผลิตภาพยนตร์ ขณะที่รายได้หลักยังคงมาจากการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศประมาณ 60-70% ที่เหลือเป็นส่วนของธุรกิจใหม่ อย่างไรก็ตาม หลังการควบรวมกิจการแล้วคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีที่บริษัทจะเทิร์นอะราวด์ โดยไม่มีผลขาดทุนเกิดขึ้น และปีต่อมาน่าจะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้ การที่ราคาหุ้นปรับตัวอย่างร้อนแรง เพราะหุ้นมีฟรีโฟลทต่ำ 30 ล้านหุ้น เมื่อมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรก็ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงได้ง่าย และเชื่อว่าภายหลังจากการเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ไม่น่าจะเทขายหุ้นออกมา รวมทั้งเชื่อว่าบริษัทเมเจอร์น่าจะถือลงทุนระยะยาว

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า บริษัท ทราฟฟิก รายงานผลการขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 240 ล้านหุ้น โดยขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม 56.34 ล้านหุ้น และเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจง 183.65 ล้านหุ้น แบ่งเป็นจัดสรรให้บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป 146.92 ล้านหุ้น นายสุชิน สถิตย์พิพัฒนพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท เอ็มพิคเจอร์ส จำกัด จำนวน 36.73 ล้านหุ้น รวมแล้วกลุ่มพีพีถือหุ้นในสัดส่วน 51%

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551